วันนี้คงเรียกได้ว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 สร้าง “New normal” ใหม่ให้กับสังคมของมนุษย์ไปแล้ว และโลกหลังยุคโควิดจะเป็นโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“การอยู่บ้าน” หรือ Stay at Home กลายเป็นหนึ่งใน New normal ใหม่ในการใช้ชีวิตของผู้คนหลังการระบาดของโควิด
แม้หลายคนอาจรู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่ในบ้านอันมีพื้นที่จำกัด แต่หากเรานำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ร่วมด้วยก็จะทำให้การอยู่บ้านไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไป
ห่างแค่กาย แต่การสื่อสารยังใกล้ชิด
“โซเชียลมีเดีย” เป็นหนึ่งในเครื่องมือสื่อสารสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนติดต่อระหว่างกัน รวมทั้งสร้างความบันเทิงให้ได้แม้ต้องอยู่กับบ้าน โดยนอกจาก Facebook Twitter Line Instagram Youtube ที่คุ้นเคยกันแล้ว แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นอย่าง TikTok ก็กำลังกลายมาเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลวิดีโอที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงที่ผู้คนต้องเก็บตัวอยู่บ้าน
นอกจากจะใช้ติดต่อสื่อสารและสร้างความบันเทิงแล้ว อีกด้านหนึ่งโซเชียลมีเดียก็ยังกลายเป็นช่องทางสร้างอาชีพ สำหรับผู้ที่ว่างงานได้อีกด้วย ลองใช้เวลาอยู่บ้านคิดทำคอนเทนต์ที่มีสไตล์ของตัวเอง โดยเฉพาะคอนเทนต์ด้านบันเทิงที่มีผลสำรวจชี้ว่าคนไทยส่วนใหญ่นิยมติดตาม
Work from Home ไม่ติดขัดด้วยสารพัดแอพฯ
การทำงานกลายเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนมาทำที่บ้านหลังจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ฉะนั้นแอพพลิเคชั่นต่างๆ จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็น การประชุมอนไลน์ การแชร์ไฟล์งาน ส่งไฟล์งาน รวมถึงการเซ็นเอกสารต่างๆ
สำหรับแอพฯสำหรับประชุมออนไลน์มีให้เลือกใช้มากมาย อาทิ Google Meet, Microsoft Team, Slack และ Zoom หากเป็นการแชร์ไฟล์งาน ส่งไฟล์งานก็มีทั้ง Trello, Microsoft Team,Google Drive, Drop Box, One Drive , iCloud หากเป็นไฟล์เอกสารที่ต้องมีการเซ็นอนุมัติก็สามารถทำได้ด้วย Adobe Fill & Sign ที่นำเข้าไฟล์ได้หลายรูปแบบ
อยู่บ้านไม่เหงาด้วยคอนเทนต์จากสารพัด “Streaming media”
ความบันเทิงเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ทำให้การอยู่บ้านไม่น่าเบื่อ ซึ่งเทคโนโลยีที่เราคุ้นเคยอย่าง “Streaming media” ก็เข้ามาช่วยคลายความเหงาให้กับผู้คนได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็น การชมภาพยนตร์, รายการทีวี และซีรีย์ดังๆ จากทั่วโลก ผ่านช่องบริการ “Streaming” ต่างๆ อาทิ NetFlix, Iflix, Amazon Prime Video, Hooq, Apple TV+, VIU
หากเป็นคอเพลงก็มีผู้ให้บริการให้เลือกฟังหลากหลาย อาทิ Apple Music , Joox , Deezer, Spotify,Tidal
สิ่งสำคัญอีกประการที่ขาดไม่ได้ก็คือการมี Smart Device โดยเฉพาะ Smart TV ที่มาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดอย่างจอแบบ QLED ที่ให้ความคมชัดสูงระดับ 8K และ จอแบบ Curved Monitor ซึ่งเป็นจอโค้งไร้ขอบ ที่นอกจากจะใช้เพื่อความบันเทิงแล้ว ยังสามารถใช้ประชุมผ่านวีดีโอคอล ทำงานเอกสาร รวมไปถึงการทำกราฟฟิกหรือตัดต่อวีดีโอได้อีกด้วย
“Smart Home” เพิ่มความสะดวกสบาย
ระบบบ้านอัจฉริยะ หรือ Smart Home เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้การอยู่บ้านมีความสะดวกสบายและประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น อาทิ ระบบไฟฟ้าส่องสว่างอัจฉริยะ หรือ Smart Lighting ที่สามารถสั่งเปิดปิดไฟ เปลี่ยนสีไฟ ผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือ หรือการสั่งงานด้วย รวมทั้งยังสามารถตั้งเวลาเปิดปิด
นอกจากนี้ระบบบ้านอัจฉริยะ ยังทำให้เราสามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆให้สามารถทำงานได้ตามอัตโนมัติ เช่น การสั่งเปิดปิดอัตโนมัติเมื่อมีผู้อาศัยในพื้นที่ การควบคุมอุณหภูมิห้องที่ปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศภายนอก โดยใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับเครื่องปรับอากาศทำให้สามารถปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสมตามสภาพอากาศแต่ละช่วงเวลาได้ ตลอดจนการการตั้งตารางเวลาเปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
“Smart Security” ดูแลบ้านให้ปลอดภัยด้วยระบบอัจฉริยะ
แม้จะไม่ได้ให้ประโยชน์ในด้านความบันเทิง แต่ระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ เช่น ระบบกล้องวงจรปิดที่ตรวจจับความเคลื่อนไหว ระบบจดจำใบหน้า ระบบการตรวจจับควัน ก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้เราอาศัยอยู่ในบ้านในช่วงโควิดได้อย่างสบายใจมากขึ้น
นอกจากระบบ Smart Security จะช่วยในการดูแลความปลอดภัย เช่น การใช้ระบบจดจำใบหน้าในการเปิดปิดประตู หรือ ระบบกล้องวงจรปิดที่เชื่อมไปยังระบบไฟส่องสว่างและไซเรน ที่สามารถเปิดไฟและไซเรนได้อย่างอัตโนมัติเมื่อกล้องตรวจจับพบว่ามีการบุกรุก
ระบบ Smart Security ยังช่วยดูแลสมาชิกภายในบ้านอย่างผู้สูงอายุได้อีกด้วย เช่น การตรวจจับการล้มและส่งสัญญาณเตือนไปยังมือถือของลูกหลานเพื่อให้เข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที
อยู่บ้านพัฒนาตัวเองด้วย “Online Course”
การที่มีโอกาสได้อยู่บ้านยังเป็นโอกาสอันดีในการแบ่งเวลามาพัฒนาตัวเองด้วยการเรียน “Online Course” จากผู้ให้บริการต่างๆที่มีอย่างมากมาย ขอแนะนำให้ไปลองดูคอร์สการเรียนต่างๆที่ Udemy ที่มีทั้งรูปแบบเว็บไซต์ และแอพพลิเคชั่น ซึ่งจุดเด่นของ Udemy ก็คือเป็นแหล่งรวมของคอร์สเรียนมากมายในหลากหลายด้าน กว่า 150,000 คอร์ส โดยผู้สอนกว่า 57,000คน ซึ่งทั้งหมดจะสอนเป็นภาษาอังกฤษ
ขณะที่คอร์สเรียนในไทยก็มีมากมายจากหลายผู้ให้บริการ อาทิ Content Shifu ที่เน้นเนื้อหาสำหรับคนทำงานสาย Digital marketing , Designil สำหรับผู้สนใจพัฒนาฝีมือในการทำเว็บไซต์, Digital Skill รวมสารพัดทักษะด้านดิจิทัล, FutureSkill ที่มีทั้งคอร์สพัฒนาทักษะด้าน ครีเอทีฟ, เทคโนโลยี และ Business, Chula MOOC คอร์สเรียนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานสายต่างๆ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยียุคนี้ที่ช่วยทำให้ชีวิตของผู้คนสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นแถมยังมีสิ่งใหม่ๆให้เลือกเสพตลอดเวลาแม้ต้องเก็บตัวอยู่บ้านก็ตาม